top of page

ว่ายอย่างไรไม่ให้จม

เมื่อต้องเจอกับการทำงานแบบ 'Sink or Swim'

ว่ายอย่างไรให้ไม่จม.png

       เมื่อก้าวเข้าสู่โลกของการทำงาน สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือการปรับตัวให้เข้ากับจังหวะและวิธีการทำงานขององค์กรใหม่ แต่ละบริษัทมีวัฒนธรรม โครงสร้าง และลักษณะงานที่แตกต่างกันออกไป ทำให้หลาย ๆ องค์กรให้ความสำคัญกับการมีกระบวนการฝึกอบรม (Onboarding) ที่แข็งแกร่ง มีพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ หรือมีคู่มือการทำงานที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้พนักงานใหม่สามารถปรับตัวและแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ แต่ในทางกลับกันก็ยังมีอีกหลายองค์กรที่ดำเนินงานภายใต้วัฒนธรรมที่เรียกว่า ‘Sink or Swim’

       Sink or Swim คือแนวคิดที่เชื่อว่าพนักงานใหม่ควรจะสามารถ ‘เอาตัวรอด’ ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องได้รับการสนับสนุนหรือคำแนะนำที่มากนัก องค์กรที่ใช้วัฒนธรรมนี้มักจะคาดหวังให้พนักงานเรียนรู้และปรับตัวได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์จริง เหมือนกับการโยนคนลงน้ำแล้วปล่อยให้ว่ายเอง ผู้ที่สามารถเรียนรู้ได้เร็ว แก้ปัญหาได้เอง และปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่กดดันได้ ก็จะ ‘ว่ายรอด’ และอยู่ต่อได้ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถทำได้ ก็จะ ‘จม’ และอาจจะต้องออกจากองค์กรไป

       แม้ว่าแนวคิดนี้อาจถูกมองว่า เป็นการคัดกรองบุคลากรที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการปรับตัวสูง แต่ผลเสียที่ตามมานั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อัตราการลาออกสูง ซึ่งส่งผลให้องค์กรต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง เพราะพนักงานใหม่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน อาจนำไปสู่ความผิดพลาดซ้ำ ๆ และใช้เวลานานกว่าจะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งพนักงานบางคนอาจมีศักยภาพสูง แต่ขาดเพียงคำแนะนำหรือการชี้แนะในช่วงเริ่มต้น ซึ่งวัฒนธรรม Sink or Swim อาจทำให้องค์กรพลาดโอกาสในการพัฒนาบุคลากรที่มีค่าเหล่านี้ไปอย่างน่าเสียดาย

       แล้วในฐานะพนักงาน เราจะรับมือกับ ‘Sink or Swim’ ได้อย่างไร?

       
1. เป็นฝ่ายรุกในการเรียนรู้ (Proactive Learning): อย่ารอให้ใครมาสอน เราต้องกระตือรือร้นในการค้นหาข้อมูล สังเกตการณ์จากเพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งศึกษาจากแหล่งข้อมูลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับงาน

       
2. ตั้งคำถามอย่างชาญฉลาด: แม้จะไม่มีคนสอนโดยตรง แต่เรายังสามารถตั้งคำถามได้ สิ่งสำคัญคือการตั้งคำถามที่เฉพาะเจาะจงและคิดมาแล้ว ไม่ใช่ถามในสิ่งที่สามารถหาคำตอบได้เอง 

       
3. สร้างเครือข่ายภายในองค์กร: พยายามทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน พวกเขาอาจเป็นแหล่งข้อมูล คำแนะนำ หรือแม้กระทั่งพี่เลี้ยงอย่างไม่เป็นทางการให้กับเราได้

       4. เรียนรู้จากการลงมือทำและความผิดพลาด: ในสภาพแวดล้อมแบบ Sink or Swim เราอาจต้องเรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูก อย่ากลัวที่จะทำผิดพลาด แต่จงเรียนรู้จากมัน 

       
5. พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยตนเอง: เมื่อเราสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เราก็จะรู้สึกมั่นใจและสามารถจัดการกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

       
6. ดูแลสุขภาพกายและใจ: การทำงานภายใต้ความกดดันสูงเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ อย่าละเลยการดูแลตัวเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และหาวิธีจัดการกับความเครียด เพื่อให้เรามีพลังงานและสติในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ

       สุดท้ายแล้ว การสอนงานและให้การสนับสนุนพนักงานใหม่ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่องค์กรควรให้ความสำคัญ เพราะมันคือรากฐานของการสร้างทีมที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ แต่ในฐานะพนักงาน เราเองก็ต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ ปรับตัว และมีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง แม้จะต้องเผชิญกับวัฒนธรรมแบบ Sink or Swim ก็ตาม ด้วยการเตรียมพร้อมและใช้วิธีการที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้เราไม่เพียงแค่รอด แต่ยังสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในทุกสภาพแวดล้อมการทำงาน

#Howtochangeth #H2C #Worklife #SinkorSwim

อ้างอิง: https://lifehacker.com/how-to-survive-a-sink-or-swim-work-atmosphere-1846495813

27 May 2025

bottom of page