ทีมหมดไฟ ทำไงดี?
6 แนวทางรับมือสำหรับผู้นำเมื่อทีมหมดไฟ

ในฐานะผู้นำ การเผชิญหน้ากับปัญหาภาวะหมดไฟ (burnout) ของทีม ถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แม้ว่าการแก้ไขปัญหาที่ต้นตออาจต้องเริ่มต้นจากตัวบุคคล แต่ในบทบาทของผู้นำ เราสามารถเป็นส่วนสำคัญในการประคับประคอง และช่วยให้ทีมของเราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ง่ายขึ้น วันนี้เราจะมาแนะนำ 6 แนวทางที่จะทำให้ผู้นำเข้าใจ และจัดการกับภาวะหมดไฟของทีมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. สังเกตปฏิกิริยาของแต่ละบุคคลอย่างใกล้ชิด
ให้ความใส่ใจกับสิ่งที่ทีมงานแต่ละคนกำลังเผชิญอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว สอบถามถึงความรู้สึกและความเป็นอยู่ของพวกเขา และแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจ การแสดงความเห็นอกเห็นใจสามารถเปลี่ยนแปลงการรับรู้ตนเองของพนักงานที่กำลังหมดไฟ ฟื้นฟูความภาคภูมิใจในตนเอง ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง หรือแม้แต่ความสามารถในการควบคุมตนเองได้ แน่นอนว่าสิ่งนี้จะยิ่งได้ผลดี ถ้าเราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานกับพวกเขาอยู่แล้ว เพราะจะช่วยให้เรามองเห็นสัญญาณของภาวะหมดไฟได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
2. เติมเต็มพลังงานส่วนบุคคลที่สูญเสียไป
เริ่มต้นด้วยการยอมรับภาระงานที่ทีมกำลังแบกรับอยู่ เมื่อพวกเขารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจ ก็จะสามารถลดความรู้สึกโดดเดี่ยวภายใต้ความเครียด หรือความหงุดหงิดจากการพยายามรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้ สนับสนุนให้พวกเขาได้ออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ หรือใช้สิทธิ์ลาพักร้อนเพื่อดูแลสุขภาพจิต แสดงให้เห็นว่าเราเชื่อมั่นในแนวทางเหล่านี้ด้วยการนำไปปฏิบัติด้วยตนเอง แบ่งปันเทคนิคการจัดการตนเองของเรา การเป็นตัวอย่างที่ดีจะช่วยส่งเสริมให้ทีมเห็นความสำคัญของการดูแลตนเอง
3. พิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างการทำงาน
ลองพิจารณาว่า กฎเกณฑ์หรือกระบวนการทำงานใดบ้างที่สามารถปรับเปลี่ยน เพื่อให้ทีมมีทางเลือกมากขึ้น หรือได้รับการสนับสนุนจากส่วนรวมมากขึ้น เช่น การอนุญาตให้เดินทางไปปฏิบัติงานด้วยตนเองเป็นทางเลือก การอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ความรับผิดชอบ หรือการให้ตารางเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น การสนับสนุนจากส่วนรวมอาจรวมถึงการแบ่งงานหรือหน้าที่ความรับผิดชอบ เพื่อให้ภาระงานกระจายตัวอย่างสมดุลภายในทีม การปรับปรุงโครงสร้างเหล่านี้จะช่วยลดแรงกดดันและเพิ่มแรงกระตุ้นในการทำงานได้
4. เสริมสร้างความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งและความสัมพันธ์ภายในทีม
พนักงานที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้างาน และได้รับการสนับสนุนด้านการให้คำปรึกษาที่ดีจะสามารถปรับตัวเข้ากับองค์กรได้ดีกว่า มีความเครียดจากบทบาทหน้าที่น้อยกว่า และส่งผลให้เกิดภาวะหมดไฟน้อยกว่า ผู้นำจึงควรที่จะจัดสรรเวลาในตารางนัดหมายสำหรับการประชุมแบบตัวต่อตัว และการประชุมทีม ที่เน้นย้ำถึงพันธกิจและค่านิยมร่วมกัน รวมถึงเป้าหมายในอาชีพของแต่ละบุคคล และการพูดคุยเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต ยิ่งพนักงานเชื่อมโยงกับเป้าหมายขององค์กร และรู้สึกว่าเราใส่ใจในความเป็นตัวตนของพวกเขามากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งได้รับความสบายใจและกำลังใจจากความสัมพันธ์นั้นมากขึ้นเท่านั้น
5. มองหาการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยที่เราสามารถควบคุมได้
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัจจัยภายนอกขนาดใหญ่ เช่น สถานการณ์โรคระบาด หรือนโยบายบางอย่างของบริษัทได้ แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนในส่วนที่เราควบคุมได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเรานัดหมายการประชุม 30 หรือ 60 นาที ให้ตั้งใจที่จะเลิกประชุมก่อนเวลา 5 หรือ 10 นาที เพื่อให้ทุกคนมีเวลาได้รวบรวมความคิด ก่อนที่จะต้องรีบไปเข้าร่วมการประชุมอื่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้
6. สร้างแบบอย่างของการตรวจสอบตนเองอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเรารู้สึกว่าตัวเองกำลังเครียดมากกว่าปกติ ลองบอกให้ทีมรู้ ในลักษณะเดียวกับที่เราขอให้พวกเขาบอกเมื่อพวกเขารู้สึกไม่สบายใจ แนวทางปฏิบัติง่าย ๆ อย่างหนึ่งที่สามารถสร้างความแตกต่างได้จริงคือ การบอกว่าเรากำลังมองหาคำแนะนำหรือความเห็นอกเห็นใจ และกระตุ้นให้ทีมทำเช่นเดียวกัน ถ้าสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือให้ใครสักคนรับฟังอย่างใจดีในขณะที่เราระบายความรู้สึก การได้รับคำแนะนำมากมายอาจทำให้รู้สึกหมดหนทางและสิ้นหวังมากขึ้น แต่การได้รับความเห็นอกเห็นใจมากเกินไปก็อาจน่าหงุดหงิดได้
การฟื้นฟูทีมจากภาวะหมดไฟนั้น อาจต้องอาศัยเวลากว่าที่ทุกคนจะกลับมากระปรี้กระเปร่าและมีสมาธิกับการทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถบรรเทาความเสียหายและอาการของภาวะหมดไฟที่เกิดขึ้นแล้วในทีมได้ และยังช่วยลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นใหม่ในอนาคต การเป็นผู้นำที่ใส่ใจและพร้อมให้การสนับสนุน จะเป็นพลังสำคัญที่นำพาให้ทีมของเราสามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้อย่างเข้มแข็งและเติบโตขึ้น
#Howtochangeth #H2C #Worklife #Burnout
6 May 2025